ประเภทของภาษาถิ่น
การแบ่งภาษาถิ่นที่ใช้พูดกันในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศไทยนั้น ถ้าแบ่งตามความแตกต่างของภูมิศาสตร์ หรือท้องที่ที่ผู้พูดภาษานั้น ๆ อาศัยอยู่ อาจแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
นอกจากภาษาราชการของชาวกรุงเทพฯ แล้ว เรายังสามารถได้ยินสำเนียงภาษาเหน่อของคนจังหวัดนครปฐม และสุพรรณบุรีด้วย
เป็นภาษาที่มีสำเนียงการออกเสียงที่โดดเด่นน่ารักไม่เหมือนใคร เช่น คำว่า เดิ๋ก แปลว่า ดึก, ปวดต้อง แปลว่า ปวดท้อง, วันพู่ก หมายถึง พรุ่งนี้, ตี๋น หมายถึง เท้า และมักลงท้ายประโยคพูดอย่างอ่อนหวานด้วยคำว่า “เจ้า”
ก็มักเป็นคำหรือสำเนียงที่เราได้ยินคุ้นหู เช่นคำว่า ไปบ่ แปลว่า ไปหรือเปล่า, ชั่วโมง พูดว่า ซัวโมง, ข้างแรมพูดว่า เดือนดั๋บ ฯลฯ
มักจะเป็นคำพูดห้วน ๆ สั้น ๆ เช่น คำว่า ตะกร้า พูดว่า กร้า, กระทะ พูดว่า ทะ, ถังน้ำ พูดว่า ทุงน้ำ, เมษายน พูดว่า เมษรา, วันพฤหัสบดี พูดว่า วันหัด เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นเฉพาะจังหวัด เช่น ที่จังหวัดจันทบุรี ระยอง ตราด มักมีคำสร้อยลงท้ายประโยคว่า “ฮิ” เช่น ละครเรื่องนี้ใครเป็นนางเอกฮิ หรือ ก็มันไม่ชอบฮิ และภาษาถิ่นเมืองเพชรบุรีหรือภาษาเมืองเพชร ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่มีสำเนียงเพี้ยนออกไปจากภาษาภาคกลาง กรุงเทพฯ โดยสำเนียงชาวเพชรบุรี จะมีลักษณะ เฉพาะตัวเป็นสำเนียงที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ หากจะฟังสำเนียงชาวเพชรบุรีแท้ ๆ จะอยู่ในเขตอำเภอบ้านลาด และอำเภอใกล้เคียง
รูปแบบประโยคของภาษาเมืองเพชรมีลักษณะพิเศษ โดยเฉพาะการปฏิเสธจะใช้คำว่า “ไม่” ตาม หลังคำกริยา และเปลี่ยนระดับเสียงคำกริยา เช่น กิ๊นไม่ (ไม่กิน) เอ๊าไม่ (ไม่เอา) มี้ไม่ (ไม่มี) ป๊วดไม่ (ไม่ปวด) นอกจากนี้ สำเนียงการออกเสียงสระยังมีลักษณะเฉพาะตัว เช่น คำว่า น้ำ ออกเสียงสั้นตามสระ-ำ ไม่นิยมออกเสียงยาวเป็น “น้าม” เหมือนคนกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีคำบางคำที่นิยมใช้กันในท้องถิ่นเพชรบุรีโดยเฉพาะ อาทิ คำว่า แมลงปอ พูดว่า แมงกระทุย แมงกระชุน, ชาม กะละมัง เรียกว่า ชาม กะละแม็ง, กะล่อน ชาวเพชรบุรีบางถิ่นออกเสียงควบกล้ำเป็น กล้อน” ไม่แยกพยางค์ ฯลฯ
ในปัจจุบันสำเนียงเพชรได้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในเขตตัวเมือง เพราะมีการติดต่อกับผู้คนที่เดินทางผ่านหรือมาท่องเที่ยว รวมทั้งระบบการเรียนการสอนในโรงเรียน หากต้องการฟังสำเนียงเพชรแท้ ๆ ต้องไปฟังแถวชนบท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น